เพราะเด็กเป็นความสวยงามและเป็นอนาคต ในขณะที่ผู้หญิงก็มีความงดงามไม่แพ้กัน เวลาเห็นแม่ลุกคลอเคลียกันทำให้รู้สึกถึงความสวยงามที่แพร่กระจายอยู่ทุกแห่ง ก็เลยชอบที่จะเล่าเรื่องราวนี้ให้ใครๆได้ฟังกัน รู้จักเพิ่มเติมได้ที่ www.birthababy.com
About me
- Birth a Baby by Meena Sobsamai
- Mother of two,Midwife-IBCLC,craft lover...ตามไปดูได้ที่ www.birthababy.com
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
First milk bank in Victoria will be open in 2011:Harold Sun
VICTORIA'S first breast milk bank is to open its doors in the new year for the state's most vulnerable babies.
The Mercy Hospital for Women's human milk bank will collect, test, pasteurise and freeze milk for sick and premature babies when it opens in early 2011.
The move has been welcomed by the Australian Breastfeeding Association, which is pushing for a network of breast milk banks for general use across rural and metropolitan Australia.
Growing numbers of mothers are sourcing unscreened human milk from online donors, which has prompted health authorities to warn of the risk of transmitting disease and infection.
Mercy's breast milk bank will be just the third in Australia, after scores were closed in the late 1980s because of the AIDS epidemic.
The site was due to open late last year but had been delayed because of government red tape.
Dr Gillian Opie, who will head up the bank, said the milk would initially be used for babies less than 1500g or 34 weeks' gestation in the intensive care unit or special care nursery.
"A number of our mums in the nursery have already said, 'Can we donate?'," she said.
"We have had a lot of interest.
"The community has got the message that we are not quite ready to open, but the floodgates will open when we do."
She said mothers would be subject to a blood test to screen for viruses such as HIV and hepatitis before they could donate. The milk would be tested for bacteria and must be donated from women with babies aged less than six months.
Such is the demand for human breast milk, a black market has sprung up online.
A Health Department spokesman said women who used private arrangements needed to be aware of risks.
"They need to satisfy themselves that there aren't any underlying blood-borne diseases or other issues, such as illicit substances, which could be passed on," he said.
The department said advertising for breast milk was also a legal grey area that could have implications under the Human Tissue Act.
ABA spokeswoman Karen Ingram said that while the group was not involved in informal donations, the benefits of breast milk outweighed the potential risks.
Mother Leah Timms, 28, of Berwick, had donated breast milk to others in the past, and would be happy to provide it to a bank.
"I would do anything to ensure my baby and others receive the benefits of human milk," she said.
The Mercy hospital is not yet accepting details from potential donors.
from Harold Sun at http://www.heraldsun.com.au/ipad-application/breast-is-best-for-new-milk-bank/story-fn6bfm6w-1225972957707
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
PM: progress seen in reform plan to reduce social disparity
BANGKOK, Dec 19 - Thailand's reform plan will focus on resolving problems with the public welfare system, education and justice as a New Year's gift to the Thai public, Prime Minister Abhisit Vejjajiva said on Sunday.
Speaking in his weekly address on radio and television, Mr Abhisit said regarding progress on his government’s plan to reduce social disparity so that welfare and the problems of the underprivileged will be resolved. Nutritional care will be offered to pregnant women and breastfeeding mothers as aspects of welfare for babies. The government will set up nurseries in all sub-districts and at workplaces.
The government is also paying attention to farmers' land problems. The Cabinet last week approved the transfer of land to Klong Yong cooperatives for issuing title deeds in the community. A Land Bank Administration Institute, in the form of a public organisation, will also be established.
Regarding education, Mr Abhisit said the government has already laid out almost all strategies to provide educational opportunities for underprivileged children and others in remote areas, children of migrant families, disabled children, etc. Teachers’ welfare will be also improved.
Concerning justice, the government will support the community justice project, in which mechanism will access people in their communities to give advice and receive complaints.
The three issues will be followed up as part of the reform plan the prime minister considers as a New Year's gift for the public.
The measures need only a small budget and the government is resolving the problems in terms of structure to boost justice and reduce social disparity, he added. (MCOT online news)
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Denise in Penang: Youth for Breastfeeding
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
GROWING UP WITH SIBLING WITH SPECIAL NEEDS
Come join us at The Rainbow Room this Thursday, November 11, 2010 at 9.30 - 11.00 hrs. with our guest speaker Diya Hingurani who will be sharing with us her precious experience of growing up with a sister who has special needs. She will shed light on her thoughts and feelings as a child and her evolution growing up with someone so special which makes her a very special person.
TIME: 09:30 am – 11:00 am
WHERE: The Rainbow Room (see map attached)
Snacks, coffee and tea will be served.
RSVP at hello@therainbowroom.org
*** CHILDREN ARE WELCOME TO COME PLAY !!!
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553
La Leche League meeting.
Date: Thursday, October 28th – 2010, from 9:30 am to 11:30am
ฟังประสบการณ์จากครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นดาวน์ซินโดรม
เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดาวน์ซินโดรม เราจึงมีคุณแม่มาแชร์ประสบการณ์ของการเดินทางบนเส้นทางสายพิเศษพร้อมกับ สมาชิกครอบครัวที่มีดาวน์ซินโดรม โดยคูณนุ่น คุณแม่ของน้องปริมกับน้องปัน เป็นตัวแทนของคุณแม่ที่มีประสบการณ์คลอดลูกในประเทศไทยและ คุณโรส คุณแม่ของจอร์จีน่าและกเบรียล เป็นตัวแทนคุณแม่ที่มีประสบการณ์คลอดลูกในต่างประเทศ จะ้มาแบ่งปันประสบการณ์การเริ่มต้นชีวิตครอบครัวพิเศษ ซึ่งจะเป็นการมองชีวิตของการมีลูกที่มีดาวน์ซินโดรมจากแง่มุมที่เหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร มาฟังได้ เวลา 9.30 -11.00 น. ในวันอังคารที่ 26 ตุลาคมนี้ค่ะ ที่ The Rainbow Room เลขที่ 30 ซอยแสงชัย สุขุมวิท 38
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553
“เรารัก(ษ์)นมแม่” (ในงาน คิดส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ 2010
(ฝากประชาสัมพันธ์ต่อโดยเฉพาะแม่ตั้งครรภ์ค่ะ)
เชิญ คุณแม่มือเก่า คุณแม่มือใหม่พบกันที่บูท “เรารัก(ษ์)นมแม่” (ในงาน คิดส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ 2010 ครั้งที่ 4 อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 21-24 ต.ค. 53 เวลา 10.00 – 20.00 น.)
เรามีบริการ “มุมให้นมแม่” สถานที่สะอาด บรรยากาศส่วนตัว สำหรับคุณแม่ที่ต้องการให้นมลูกน้อย
เรามีบริการ “ปั๊ม-ฝากน้ำนมแม่” สำหรับคุณแม่ที่มาร่วมออกบูท หรือมาเที่ยวชมงาน แต่ยังต้องการนำน้ำนมกลับไปเป็นของฝากล้ำค่าแก่ลูกน้อยที่บ้าน
เรามีบริการ “ทุกปัญหานมแม่มีคำตอบ” โดยมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องนมแม่คอยเสวนาพูดคุยตอบทุกคำถามของคุณแม่ประจำบูทตลอด
เรามีการ “สาธิตอุปกรณ์นมแม่” ซึ่งเป็นทั้งการให้ความรู้ การเลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆเพื่อช่วยในการให้นมแม่ เช่น การใช้ปทุมแก้วในกรณีหัวนมบอด การใช้และเลือกซื้อเครื่องปั้มนม ถุงเก็บน้ำนม การนำน้ำนมแม่ที่แช่แข็งมาให้ลูกรับประทาน เป็นต้น
พิเศษสุด สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพียงกรอกข้อมูลส่วนตัวด้านล่างให้ครบ นำมาแลกรับชุดของขวัญ “เรารัก(ษ์)นมแม่” ได้ที่บูทค่ะ (รีบหน่อยนะค่ะ เพราะของมีจำนวนจำกัดค่ะ)
ร่วมลุ้น กับกิจกรรม “การแข่งขันหาสุดยอดคุณแม่นมดี ปริมาณเยี่ยม” ชิงรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ พร้อมรับถุงเก็บน้ำนมจำนวน 1 โหล คุณแม่ท่านไหนสนใจเข้าร่วมชม เชียร์ แข่งขัน เชิญที่บูธ “เรารัก(ษ์)นมแม่” 21-24 ตุลาคม 2553 เวลา 15.00 น. ทุกวัน
สนใจกิจกรรมติดต่อ คุณสุวรรณี โทร.081-4072445
อย่าลืมว่ามาพบพวกเราที่บูท “เรารัก(ษ์)นมแม่” นะคะ
มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553
นมแม่... อาหารชีวิตของลูก: นมคน สำหรับ ลูกคน
อาสามัครดีเด่น นมแม่สายใยรักแห่งครอบครัว ภาคอีสาน มีเรื่องราวดีเกี่ยวกับนมแม่ หลากหลาย จาก http://www.phcblog.net/blogvhv/52_burirum/ อ่านแล้วช่วยเขียนความเห็นให้กำลังใจกันด้วยนะคะ
กรมอนามัยประกาศข้อมูลปึ 2552 นมแม่อย่างเดียว 6 เืดือน 29.6 อ่านได้ที่นึี
ตลาดนมผงในเมืองมีมูลค่าถึง 1หมื่น1พันล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลดีๆและภาพจาก Bangkok Post ฺhttp://www.bangkokpost.com |
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Quote of the day
Winston Churchill
ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมของทุกปีจะมีการรณรงค์พร้อมกันทั่วโลกในสัปดาห์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 1-7 สิงหาคม 2551จะรณรงค์เรื่องการให้กินนมแม่ใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด เพราะสามารถช่วยลดปัญหาสุขภาพทั้งแม่ทั้งลูกได้อย่างมหาศาล ทารกแรกเกิดกว่าล้านคนจะไม่เสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดจะลดลงถึง 22% โดยการให้กินนมแม่ภายใน 1ชั่วโมงแรกของชีวิต
ลูกได้Colostrum หัวน้ำนมที่มีสารอาหารครบถ้วนและภูมิคุ้มกันสำหรับทารก และช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้นในมื้อต่อๆไป
ไออุ่นจากผิวกายแม่จะช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย มีความจำเป็นที่สุดต่อทั้งแม่และลูกที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดกัน ตั้งแต่แรกเกิดที่จะกระตุ้นสัญชาตญาณและฮอร์โมนต่างๆให้ทำงานได้เป็นอย่างดี สร้างความผูกพันระหว่างแม่และลูกต่อไป
เพราะน้ำนมแม่สามารถปกป้องลูกจากโรคร้ายหลายชนิด ทำให้ลูกเติบโตทั้งร่างกาย อารมณ์และจิตใจ ช่วยให้พ่อ แม่ ลูกสร้างความผูกพันอันยิ่งใหญ่
และเมื่อแม่หนึ่งคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จจะเป็นพลังที่ทำให้แม่อีกหลายๆคนทำได้สืบต่อไป
นมแม่คือหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว
Top Hit นมแม่
1. ถ้าน้ำนมไม่ไหลหรือน้ำนมน้อยกระตุ้นอย่างไรดี
นมแม่ไม่ไหล
มักเกิดจากการดูดที่ตื้นเกินไปหรือดูดที่หัวนม คุณแม่ลองขยับให้ลูกแนบตัวมากขึ้น รอลูกอ้าปากกว้างก่อนจึงจะจับเต้าเข้าปาก ว่าไปแล้วจะต้องปากพาลูกมาหาเต้านมแม่ ไม่ใช่พาเต้าแม่ไปใส่ปากลูกเพราะจะทำให้แม่ปวดเมื่อยหลังเพราะต้องก้มตัว สำคัญที่ว่าปากอ้ากว้าง คางชิดเต้านมแม่ ท้องแม่แนบท้องลูกนะคะ การอุ้มที่แนบชิด ปากอ้ากว้างอมลึกถึงลานนมนี้ยังช่วยแก้ปัญหาหัวนมเจ็บได้ด้วยค่ะ
แม่เครียด!!! ก็เป็นอีกสาเหตุที่มักทำให้กลไกน้ำนมพุ่ง หรือน้ำนมไหลหดหายไปโดยปริยาย เพราะฮอร์โมนรักที่ต้องการถูกความเครียดมาขวางทางไว้ ทางที่หาทางนอนเวลาลูกนอน พยายามกินอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยเสียงเพลง สายลมและสองหรือสามเราพ่อแม่ลูกกันหน่อยค่ะ เรื่องเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ใหม่กันหมดทำได้อย่างใจบ้างไม่ได้บ้างอย่างเพิ่งท้อ ผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็จะดีขึ้นเอง รอบข้างมีใครพอแบ่งเบาช่วยเหลือได้ก็ขอช่วยไปก่อน ไม่นานก็เก่งทุกคนค่ะ
น้ำนมน้อย
ถ้าดูเรื่องท่าอุ้มท่าดูดถูกต้องกันดีแล้ว การกระตุ้นโดยให้ดูดให้บ่อย ดูดให้นานขึ้น น้ำนมได้ถ่ายเทออกมามากก็จะมีน้ำนมมากเอง ที่สำคัญอย่าไปคาดหวังว่าจะมีน้ำนมมากมายในช่วงสัปดาห์แรกเพราะทั้งกระเพาะลูกและเต้านมแม่ก็เพิ่งเริ่มงานกันทั้งคู่ขอเวลาให้เครื่องเดินเต็มที่รับรองหายห่วง แต่ต้องให้กินบ่อยพอในช่วงเดือนแรกขอเป็นสัก 8 ครั้งในหนึ่งวันนะคะ
คุณแม่อาจเสริมแรงด้วยอาหารหวานคาวที่ใครต่อใครบอกว่าทำให้น้ำนมพลั่งพรู เช่นน้ำขิง น้ำเต้าหู้ ยำพัวปลี แกงเลียง เม็ดขนุนต้ม มะละกอ สัปปะรด เพื่อบำรุงคุณแม่ อย่างลืมพักผ่อนหลับจะได้สดชื่นผ่องใส มีแรงเลี้ยงลูก ช่วงนี้อย่าไปห่วงจะลดน้ำหนักเพราะได้ออกกำลังเลี้ยงลูกอยู่แล้วรับรองว่าผอมแน่
2. ของต้องห้ามของแม่ที่ให้นมลูก
ของแสลงคงไม่มีแต่ต้องห้ามของไม่ดีพวกบุหรี่ แอลกอฮอล์เพราะพวกนี้คนดีๆยังแย่ ของหมักของดอง ของที่มีการใช้สารกันบูด สารเคมีต่างๆก็ให้ห่างๆไว้ สรุปว่าห้ามคิดและทำในสิ่งไม่ดีเพราะจะทำให้จิตใจขุ่นมัวน้ำนมจะน้อยจะแห้งไป คุณแม่ต้องคิดดีทำดีจิตใจจะผ่องใสลูกเห็นหน้าก็ชื่นใจไม่งอแง
อาหารบางอย่างที่ควรเลี่ยงก็พวก เปบเปอร์มิ้น อาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุก (ไม่เกี่ยวกับผักสดผลไม้นะคะ) อาหารรสจัดชวนท้องร่วง คาแฟอินพวกนี้ถ้าอยากก็ทานได้แต่เลี่ยงได้จะดีที่สุด
3. หย่านมลูกเมื่อไหร่ดี
ขึ้นอยู่กับเหตุและผลและรายๆไป อย่างน้อยที่สุดกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนหลังจากนั้นกินนมแม่ร่วมกับอาหารตามวัยไปได้เรื่อยๆ ถึง 2 ขวบหรือมากกว่าก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับแม่ลูกแต่ละคู่ค่ะ
4. ให้นมแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกอิ่ม
ลูกอิ่มก็หยุดดูดเองหรือไม่ก็หลับมือไม้อ่อนผ่อนคลายไป ไม่แสดงอาการต้องการกินอีก ไม่ยอมเปิดปากก็แสดงว่ากินไม่ไหวแล้ว
นอกจากนี้ก็คือน้ำหนักตังลูกเพิ่มขี้นตามปกติ ถ่ายปัสสาวะวันละ 6 ครั้งขึ้นไปมีอาการสดใส ไม่ซีดเซียวปวกเปียกไม่มีแรง
5. สามารถให้นมแม่สลับกับนมผงได้ไหม
ถ้าถามว่าสลับได้ไหมคงต้องบอกว่าได้แต่ไม่ดีนักเพราะของแท้กับของเทียมคงเทียบกันไม่ได้ผลกระทบเวลาสลับกันที่พบบ่อยก็เรื่องอุจจาระและท้องอืด แต่ที่เป็นปัญหาให้เหมือนวงจรอุบาทก็คือยิ่งเสริมยิ่งสลับน้ำนมแม่ก็จะลดน้อยลง แถมยังต้องคำนึงถึงเรื่องอาการสับสนในการดูดถ้าไปใช้ขวดนมป้อนนมชง ทางที่ดี...อย่าดีกว่า แต่ถ้ามีเหตุให้เป็นอย่างนั้นก็บีบน้ำนมให้มีการผลิตน้ำนมอย่างสม่ำเสมอต่ะ
เต้านมแม่หลังคลอด
ตั้งท้องสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องง่ายดาย ท้องได้ท้องดี แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นความหวังที่กว่าจะสำเร็จต้องผ่าฟันด้วยความอดทนและมุ่งมั่น แต่เมื่อเราได้ดังหมาย ก้าวต่อไปก็เป็นเรื่องของการคลอดและการที่จะได้ใช้น้ำนมตัวเองเลี้ยงลูกให้เติบโตแข็งแรงและเป็นคนดี วันนี้เรามารู้จักเต้านมของเราให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อเราจะได้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยความที่แม่ตั้งท้อง เต้านมก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจึงต้องการให้ข้อมูลคุณแม่ว่า...
กำเนิดของเต้านม
• พัฒนาการของเต้านมช่วงชีวิตในมดลูกหลังการปฏิสนธิสัก 4 สัปดาห์เป็นต้นไป เราจึงมีเต้านมด้วยกันทั้งหญิงและชาย เราจึงมีจำนวนต่อมน้ำนมและท่อน้ำนมเท่ากันเพราะมันถูกพัฒนามาในช่วงนี้รวมทั้งการเกิดหัวนมบอดด้วยเช่นกัน
• พัฒนาการของเต้านมช่วงแรกเกิดถึงสองปีแรกจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงสองปีนี้จะมีแต่ในระยะแรกเกิดที่ยังได้รับฮอร์โมนคุณแม่ผ่านมาทางสายสะดือเมื่อครั้งยังอยู่ในมดลูกอาจทำให้เห็นเต้านมคัดตั้งเต้าบ้างก็มีน้ำนมไหลออกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกสิ่งเหล่านี้เกิดได้เสมอและไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำนมที่จะสมารถผลิตได้เมื่อโตเป็นสาว การเติบโตของเต้านมหลังจากสองปีจะไม่ค่อยมีอะไรมากนักจนกระทั่งเข้าสู่ระยะวัยรุ่นหรือย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
• พัฒนาการของเต้านมช่วงวัยเจริญพันธุ์จะเป็นการทำงานของฮอร์โมนเพศที่จะทำหน้าที่แตกต่างกันทั้งชายและหญิงลักษณะของเต้านมจึงเริ่มแสดงความแตกต่างทางเพศมากขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เต้านมเพศชายจะหยุดการพัฒนาในขณะที่เต้านมผู้หญิงจะถูกขยายขนาดของต่อมน้ำนมและมีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังมากขึ้น ขนาดของเต้านมและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังไม่มีผลต่อความสามารถในการสร้างน้ำนมแต่อาจจะบอกถึงความจุในการเก็บน้ำนม การแสดงออกของเต้านมในช่วงที่มีประจำเดือนเช่นการคัดตึง การเจ็บ ก็เป็นการบอกถึงการเติบโตของเต้านมที่มีมากขึ้นตามลำดับและจะพัฒนาไปจนถึงระยะสุดท้ายของการตั้งท้อง
- เมื่อตั้งท้อง อานุภาพของการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนของการตั้งท้องจะเริ่มต้นการทำงานด้วยกันของแม่และลูกตลอดไปจนกว่าลูกจะดูแลตนเองได้และไม่ต้องพึ่งพาจากแม่ โดยช่วยเตรียมพร้อมเต้านมไปพร้อมกับการเติบโตของลูกอันนี้อาจเป็นคำตอบสำหรับความผูกพันของแม่และลูกที่เข้มแข็งและยืนยาว และอาจตอบคำถามว่าเมื่อไหร่การหย่านมจึงจะเริ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่คุณแม่จะสังเกตได้ตั้งแต่เริ่มตั้งท้องใน 3 เดือนแรกก็คือ ขนาดของหัวนมและลานนมที่จะขยายขึ้นและมีสีเข้มขึ้น เต้านมตึงขึ้นและขยายขนาดขึ้น ในขณะที่มีการพองฟูและขยายของต่อมผลิตน้ำนมอยู่ภายในเต้านม ความรู้สึกไวต่อสัมผัสของเต้านมเป็นอาการแรกที่คุณแม่มักรู้สึกในช่วงนี้
บริเวณลานนมจะมีต่อมน้ำมันที่เห็นเป็นตุ่มๆเหมือนสิว ขนาดขยายขึ้นเพื่อขับน้ำมันมาสร้างความชุ่มชื้นและช่วยให้ลานนมนุ่มและยืดหยุ่นช่วงให้ลูกดูดกินได้ง่ายชึ้น น้ำนมจะเริ่มผลิตในช่วงสัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์ และบางรายอาจมีหัวน้ำนม Colostrums ซึมออกมาให้เห็นในช่วงก่อนคลอด ระยะนี้เป็นระยะที่ 1 ของการผลิตน้ำนมของคุณแม่ค่ะ
- ก่อนคลอด
- ลักษณะเต้านมเห็นเส้นเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น ลานนมจะยืดหยุ่นมากขึ้น หัวนมชี้ชันมากขึ้น บางคนมีขนาดขยายขึ้น ความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่น สีผิวบริเวณข้อพับต่างๆ มักมีสีเข้มขึ้น อาจพบติ่งเนื้อเล็กๆ หรือบางรายสิวขึ้น บางรายผิวแห้ง เส้นลายของความเป็นแม่มักปรากฏในช่วงนี้ใกล้คลอดนี้ที่หลายคนพบว่าหน้าท้อง ต้นขาแตกลาย และหลายคนก็อาจลุกลามมาถึงบริเวณเต้านมได้ บางรายพบว่าเต้านมจะไวต่อความรู้สึกอีกครั้ง ความรู้สึกเต้านมขยายและคัดตึงเต้านมจะมาเตือนสติให้รู้ว่าใกล้เวลาแล้วนะ
ความสงสัยเรื่องความสามารถในการให้นมด้วยตนเองมักมีมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ 4-6 เดือน เนื่องจากพ้นระยะแพ้ท้องและสามรถปรับตัวได้ดีขึ้นแล้ว ดังนั้นอย่าลังเลที่จะเข้าสัมมนา อบรมกับกลุ่มคุณแม่ด้วยกันเองหรือกับการอบรมที่มีตามโรงพยาบาลเพื่อฝึกการอุ้มและหาคำตอบตรงนี้นะคะ
- วิธีการดูแลเต้านมแม่ก่อนคลอด ไม่มีการดูแลที่พิเศษเพียงการรักษาความสะอาดโดยการอาบน้ำตามปกติก็เพียงพอแล้ว คุณแม่ไม่ควรครีมทาบริเวณหัวนมเพราะจะไปอุดท่อน้ำมันหล่อลื่นบนเต้านม และไม่ควรขัดถูหรือดึงไขมันที่ติดที่หัวนมเพราะจะทำให้เกิดแผลได้ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณแม่พบว่าหัวนมบอดอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะแก้ไขโดยการนวดดึงหัวนมซึ่งสามารถไปขอคำปรึกษาได้ตามคลินิกนมแม่หรือที่โรงพยาบาลที่คุณแม่ฝากท้องอยู่นะคะ คุณแม่สามารถตรวจง่ายๆด้วยตัวเองโดยการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับหัวนมถ้าสามารถจับได้แสดงว่าปกติไม่ต้องทำอะไร แต่บอกเพื่อลดกังวลไว้ก่อนว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะมีหัวนมบอดมีน้อยมากค่ะ อย่ากังวลไปเลย
- หลังคลอด
- ลักษณะเต้านมแม่หลังคลอด
หลังคลอดใหม่ๆ การคัดตึงเต้านมคงยังไม่มีละอาจไม่มีให้เห็นเลยถ้าน้ำนมถูกระบายบ่อยพอแสดงว่าการผลิตน้ำนมพอเพียงและเพียงพอกับความต้องการของลูก การคัดตึงอาจเริ่มมีบ้างในราววันที่ 4 เป็นต้นไป อาการมักพบในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งบอกได้ว่าเต้านมต้องการระบายน้ำนมออกมากขึ้น ควรให้ลูกกืนนมบ่อยขึ้น
หลังจาก 3 เดือนแรกผ่านไป ปริมาณของฮอร์โมนโปรแล็คติน จะค่อยๆ เริ่มลดต่ำลงกลับสู่ระดับปกติของการผลิตน้ำนม คุณแม่จะไม่รู้สึกว่าหน้าอกคัดตึงเหมือนช่วงแรก น้ำนมที่เคยไหลซึมก็น้อยลง หรือหายไปเลย ไม่รู้สึกว่าน้ำนมไหลพุ่ง ไม่รู้สึกถึงกลไกการหลั่งน้ำนม (Let down reflex) และปริมาณน้ำนมที่ปั๊มได้ก็อาจจะลดลง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็น เรื่องปกติ ไม่ได้หมายความว่า ปริมาณการผลิตน้ำนมของคุณลดลงแต่อย่างใด
- วิธีการดูแลเต้านมแม่หลังคลอด
1. อาบน้ำทำความสะอาดตามปกติ ซับให้แห้งเสมอ ไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ
2. หลีกเลี่ยงการใช้ครีมทาหัวนมเพราะจะไปอุดอันต่อมน้ำมันที่ลานนม และต้องเช็ดออกก่อนให้ลูกกินนมจากเต้าทำให้หัวนมและลานนมแห้งมากขึ้น
3. หลีกเลี่ยงการขัด ถูที่หัวนม รวมถึง กำจัดไขมันบนหัวนมเพราะอาจนำไปสู่การเป็นแผล
4. สวมยกทรงที่มีขนาดพอดีเพื่อประคองเต้านมถ้ามีเต้านมใหญ่และหนัก ถ้าเต้านมมีขนาดเล็กอาจไม่จำเป็นต้องสวมยกทรงเพราะบางคนรู้สึกสะดวกที่ไม่ต้องสวมยกทรง
5. ถ้ามีน้ำนมหยดไหล การใช้แผ่นซับน้ำนมที่ซักได้จะระบายลมได้ดีกว่า ทำความสะอาดง่ายกว่าและยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบฉบับของแม่ยุคใหม่อย่างเราๆด้วยค่ะ
- ลักษณะน้ำนมแม่หลังคลอดเป็นอย่างไร
หัวน้ำนม – Colostrum น้ำนมแรกที่มีลักษณะข้น มีสีเหลืองปนส้มของวิตามินเอ ใน 2-3 วันแรกคลอด น้ำนมที่มีคุณภาพเยี่ยมในการเสริมสร้างสมองและสายตา อาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เปี่ยมด้วยภูมิคุ้มกันพร้อมใช้ อาหารและน้ำย่อยที่มีความจำเป็นสำหรับทารก หัวน้ำนมนี้จะมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของลำไส้เพื่อช่วยขับถ่ายขี้เทาออกเป็นการป้องกันแก้ไขอาการตัวเหลืองที่อาจเกิดขึ้น น้ำนมในวันแรกจะมีเพียงไม่มากนักแต่ก็เพียงพอสำหรับทารกตัวเล็กที่กินทีละน้อยและบ่อยครั้ง ถ้าวันแรกยังไม่เห็นน้ำนมก็อย่าได้เป็นกังวลเพราะคุณจะได้เห็นในอีกไม่ช้าช่วงนี้ลูกจะมีอาหารสะสมมาจากคุณแม่ แต่ก็ต้องให้ดูดนมกระตุ้นทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อเปิด สวิทช์ทำงานและเร่งเครื่องผลิตน้ำนม
น้ำนมใส-Transitional milk เป็นนมที่มีสีขาวขึ้นเป็นส่วนผสมของหัวน้ำนมกับนมขาว ปริมาณมากขึ้น ในระยะ 3-7 วัน หรืออาจยาวไปถึง 10 วันถ้าน้ำนมระบายออกไม่ดี ช่วงนี้บางคนเริ่มมีความรู้สึกนมตึงขึ้นระยะนี้ยังคงอาศัยระดับฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างน้ำนมดังนั้นการกระตุ้นสม่ำเสมอจึงสำคัญมากที่ยังต้องกระตุ้นให้กินนมจากอกทุก 2-3 ชั่วโมง
น้ำนมขาว-Mature milk หลัง 7-10 วันไปแล้วน้ำนมจะขาวขึ้น มีไขมันมากขึ้น ปริมาณน้ำนมมากขึ้น และการให้ลูกกินนมจนเกรี้ยงเต้าจะช่วยให้มีการผลิตน้ำนมมากขึ้น การทำงานของฮอร์โมนจะเริ่มมีอิทธิพลต่อน้ำนมน้อยลง การทำให้นมระบายออกจนเกลี้ยงเต้าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีน้ำนมมากขึ้น มากขึ้น และช่วงนี้เองทีมีอิทธิพลสูงมากในการผลิตน้ำนมในโกอาต่อไป เพราะเป็นการติดตั้งระบบให้คุณแม่และระบบนี้จะทำงานต่อไปจนกว่าจะเลิกให้ลูกกินนมจากเต้า
กินสม่ำเสมอ กินเกลี้ยงเต้าจะช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น
การมีน้ำนมคัดจะทำให้น้ำนมน้อยลง
Tip:
- วิธีการเลือกบราของแม่ใกล้คลอดและหลังคลอด
1. เลือกชนิดที่ไม่มีขอบแข็งหรือขอบเหล็กดันทรง
2. เลือกขนาดที่พอดีไม่หลวมหรือคับเกิดนไป
3. เลือกที่มีฝาเปิดให้นมที่สามารถเปิดได้กว่าที่ที่สุด
4. เลือกเป็นผ้าที่ระบายอากาศดีๆ เพราะบางทีเหงื่อออกมาก จะได้ไม่เหม็นอับ
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Preventing postpartum hemorrhage naturally
If you're new here, you may want to subscribe to my RSS feed. Thanks for visiting!
Childbirth involves blood loss. There’s no way around it. How much blood a woman loses is the potentially dangerous variable. Postpartum hemorrhage accounts for the majority of maternal deaths worldwide. Fortunately, in the United States where maternity care is more readily accessible, most postpartum hemorrhages are not fatal. But they do happen, regardless of where you give birth.
So what do we know about postpartum hemorrhage?
Who is most at risk of experiencing a postpartum hemorrhage soon after giving birth?
- Women with pregnancy induced hypertension
- Women who experience a prolonged second stage of labor
- Women who are induced or have their labors augmented with Pitocin
- Women whose babies are delivered via vacuum extraction
- Women with “large for gestational age” infants
The most common reason for postpartum hemorrhage is “uterine atony,” or failure of the uterus to contract in a normal fashion following delivery of the baby and/or placenta. Possible causes for uterine atony include:
- Overdistended uterus (due to multiple gestation, overly large fetus, excess amniotic fluid)
- Fatigued uterus (due to induced/augmented or prolonged labor, infection, use of uterine tocolytics—drugs used to stop labor or pre-term labor—such as magnesium or calcium channel blockers)
- Obstructed uterus (due to retained placenta, placenta accreta, or a full/swollen bladder)
(Source: eMedicine’s Pregnancy, Postpartum Hemorrhage)
I’m not a doctor, midwife, medical professional, researcher, or “expert” of any kind. But I love to learn and try to uncover the truth wherever I can find it. So, for what it’s worth, here is a compilation of what I have uncovered while digging through scholarly articles and research, looking for possible ways to naturally prevent postpartum hemorrhage. I can’t guarantee any of these things will work, but my hunch is that each of them could contribute at least a bit of prevention.
1. Minimize your risk factors
This is sort of self-evident, but I wanted to mention it anyway. Do what you can to prevent pregnancy-induced hypertension, avoid Pitocin when possible, stay upright and mobile to shorten your labor and delivery, be sure to empty your bladder frequently during labor and afterward.
2. Take measures to reduce cholesterol and obesity
There is some evidence that elevated cholesterol levels can interfere with the uterus’s ability to efficiently contract. Similarly, obesity may lead to poor uterine contractility:
Obese women delivering vaginally had increased risk of prolonged first stage of labour and excessive blood loss. [Uterine muscle tissue] from obese women contracted with less force and frequency and had less [calcium] flux than that from normal-weight women. (Source: Poor uterine contractility in obese women)
Both elevated cholesterol and obesity seem to negatively impact calcium signaling… which leads me to the next point…
3. Optimize low calcium levels
The uterus (like all muscles) cannot properly contract without calcium. Calcium and magnesium must remain in a delicate balance for pregnant and laboring women. Too little magnesium can lead to pre-term labor, but laboring women given large intravenous doses of magnesium for preeclampsia (or other issues) can experience excessive postpartum blood loss if they are not administered calcium to counteract the magnesium’s muscle relaxing effect (Source). The blood also cannot properly coagulate (to prevent excessive blood loss) without calcium (Source). Midwives have long utilized calcium-containing herbs such as red raspberry leaf and nettle to aid in labor progress and postpartum recovery. Many “Laboraid” (homemade electrolyte drink) recipes also contain crushed calcium tablets. It seems highly appropriate to ensure that the body has sufficient calcium while in labor and immediately afterward.
Some of the highest dietary sources of calcium are: yogurt, sesame seeds, milk, spinach (and other dark leafy greens), cheese, and blackstrap molasses (Source). Blackstrap molasses is also a great source of iron (anemia is another risk factor for postpartum hemorrhage) and other beneficial vitamins and minerals, so taking 1-2 tablespoons a day during pregnancy provides multiple benefits. Antacids are not a good source of calcium since they neutralize the stomach acid necessary for calcium absorption. Simple ways to improve calcium absorption include:
- Getting moderate physical exercise. (Source)
- Getting enough vitamin D through safe sunlight exposure or supplements. This is also important because low vitamin D levels have been linked to muscle weakness (remember the uterus is a muscle), impaired muscle performance, and increased likelihood of cesarean section (Source).
- Reducing or eliminating calcium-depleting foods from your diet: soft drinks, excess animal protein, alcohol, caffeine, and refined carbohydrates.
4. Boost vitamin K levels during the last weeks of pregnancy
Just as calcium must be present to prevent excessive blood loss, so must vitamin K. Vitamin K got its name from the German word koagulation because of its crucial role in “keeping our blood clotting ability at the exact right level” (Source). Symptoms of low vitamin K levels include anemia and hemorrhage. For this reason, many midwives recommend alfalfa (naturally high in vitamin K) supplements during the last weeks of pregnancy. They understand that boosting vitamin K levels can help prevent hemorrhage. Heightened vitamin K levels will also benefit the baby (by crossing the placenta in small amounts) and improve the vitamin K content of the mother’s colostrum, thereby naturally reducing the infant’s risk of experiencing vitamin K deficiency bleeding (Hemorrhagic Disease of the Newborn). Some excellent dietary sources of vitamin K include: kale, spinach, collard greens, and swiss chard.
5. Keep the lights low following delivery?
I’ve blogged in the past about melatonin’s role in labor progress. Research indicates that melatonin synergizes with oxytocin to produce forceful uterine contractions. Our bodies increase production of melatonin in darkness, and most humans’ melatonin levels peak in the wee hours of the morning. Daylight and artificial light reduce melatonin production. This is likely part of why most women go into labor during the night. I have previously encouraged low lighting during labor, but I never considered how low lighting may be important immediately following labor as well. It is often the case that all the lights go on as mother and newborn are examined immediately following delivery. Could that excessive lighting interfere with the uterus’s ability to contract postpartum? I really don’t know. But it couldn’t hurt to keep the lighting low until the uterus has contracted safely down and bleeding appears minimal, right?
Melatonin production will also be inhibited by cortisol—the stress hormone. Reducing stress and increasing relaxation would likely also facilitate the melatonin-oxytocin synergy. Other ways to increase melatonin production include getting sufficient sunlight during daytime hours, meditation, and calcium and magnesium may also facilitate the increase of night-time melatonin levels.
6. Consider pomegranate seed extract?
Recent research has shown promise for the use of pomegranate seed extract as a stimulant of uterine contractions. It could prove especially helpful in aiding prolonged labors and/or reducing blood loss caused by uterine atony. Dr. Sajeera Kupittayanant explains, “We added the extract to uterus tissue samples from animals and found that the muscle cells increased their activity. Our work suggests that the increase is due to a rise in calcium, which is necessary in order for any muscle to contract” (Source). Pomegranate juice has a reputation for lowering cholesterol (and we’ve already discussed how reducing elevated cholesterol levels can improve uterine function), though more research is needed to determine whether pomegranate juice or the fruit itself would have a uterine-stimulating effect similar to that produced by the seed extract.
Whether or not the juice will promote uterine contractility, drinking it during pregnancy has been shown to protect infants from brain injuries caused by low oxygen and reduced blood flow (Source). It might be beneficial (in many ways) to drink pomegranate juice during pregnancy and labor. And, while safe dosing has not been established for the use of pomegranate seed extract as a uterine stimulant, it might be something to discuss with your doctor or midwife, if you would prefer to avoid Pitocin as a preventative or treatment measure for postpartum hemorrhage.
Have you used or heard of any of these preventative measures? Any other tips you know of?
** Be sure to check out my follow-up post: Preventing postpartum hemorrhage: a follow-up. **
http://birthfaith.org/exercise/preventing-postpartum-hemorrhage-naturallyScience & Sensibility » Iatrogenic Norms: How Fast Do First-Time Mothers Beginning Labor Spontaneously Actually Dilate?
Iatrogenic (adjective): induced in a patient by a health care provider’s activity, manner, or therapy. An iatrogenic disorder is caused by medical personnel or procedures or develops through exposure to a health care facility.
Iatrogenic norm: a defined range of normal values for a biological process that, rather than describing actual normal physiology, instead measures the consequences of a health care provider’s beliefs, actions, or therapies or the effects of exposure to a health care facility.
Clinicians today base labor management on norms for cervical dilation rate in active phase labor (assumed to begin somewhere between 3 and 5 cm dilation in women contracting regularly) derived from research conducted decades ago by Friedman and colleagues (the famous “Friedman curve”). According to this research, in first-time mothers, the slowest 10%, an arbitrary cutoff for abnormally slow progress, dilate at a rate of 1.2 cm per hour or less. This norm has been enshrined in the “action lines” of the graphs of “dilation versus time” routinely used to manage labor. The “action” taken when women fail to progress at this minimal rate is administration of intravenous oxytocin to strengthen contractions, and such women are at high risk for cesarean surgery for labor dystocia. If this criterion is overly stringent, women with normally progressing labors will be subject to potentially harmful treatment and surgical delivery unnecessarily.
Concern over this possibility led a group of investigators to conduct a systematic review of studies analyzing active labor duration, progress rate, or both in active first-stage labor in first-time mothers, and the lead author, Jeremy Neal, presented the results at the recent Normal Labour & Birth International Research Conference. Neal began his talk with a look at the body of evidence that gave rise to this concern. I won’t bore you with the details, but suffice it to say that studies using Friedman’s norms for progress diagnose anywhere from one-quarter to one-half or more of first-time moms as requiring treatment for abnormally slow progress. If progress is abnormal in that many women, then something is wrong with the definition of normal, or, as Neal put it:
Either many nulliparous women are admitted prior to progressive (active) labor yet held to dilation expectations of “active‟ labor and/or common expectations of active labor dilation rates (e.g. 1 cm/hr) are unrealistically fast.
The group’s review pooled data from 25 studies encompassing thousands of low-risk first-time mothers with spontaneous labor onset at 36 weeks of pregnancy or more. It found that contrary to Friedman, 1.2 cm was actually the mean rate of dilation, not the rate in the slowest 10%, and the limit for the threshold of slowest acceptable progress rate fell at 0.6 cm, half that rate. (This, by the way, is not a physiologic norm because studies included women with epidurals and labor augmentation, and since all data came from hospital studies, laboring women would have been subject to policies that could affect progress rate such as confinement to bed. That being said, the review found that epidural use did not change results.)
Neal then added that active labor is assumed to progress at a constant rate, but some data suggest that rate of progress may be slower at the beginning of active phase and accelerate as it continues. In other words, the action “line” is another iatrogenic norm because it should be an action “curve.” If this is true, using an action line would put even more women progressing normally in early active phase in jeopardy of the “dystocia” diagnosis and all that follows.
Neal concluded with: “Revision of existing ‘active’ labor expectations and/or revision of criteria used to prospectively identify active labor onset is warranted and such efforts should supersede efforts to ‘change’ labor to fit existing expectations.” “From his mouth to God’s ears,” as they say—or at least to the ears of obstetricians.
Nevertheless, while revising norms to match reality would take a big step in the right direction, I would argue it doesn’t go nearly far enough because it still sticks us with the assumption that active first-stage dilation progresses smoothly. Anyone who has spent time with laboring women knows that this is often not the case. Neat graphical lines (or curves) come from averaging many highly variable individual labors, so the very expectation of how labors progress, at whatever pace, is itself an iatrogenic norm.
Moreover, the published review points out that both the old and the proposed new threshold for “abnormal” are statistically derived (e.g. two standard deviations beyond the mean). No study links a cut point for “abnormally slow” with an increase in perinatal morbidity, but averting adverse outcomes should form the basis for intervening medically because of the risks of intervention. In fact, even if a study tried to establish an outcome-based threshold, it would be hard to determine whether the increase was due to labor duration per se or to the interventions used to treat slow labor. So we have yet another iatrogenic norm, this one having to do with a definition of “abnormal” with no clinical significance.
In short, forcing labor to conform to artificial, arbitrary guidelines does more harm than good. A simplistic cookbook approach to the knotty problem of labor dystocia has obvious appeal, but what is truly needed to achieve the best outcomes with the least use of medical intervention is thoughtful evaluation, individualized care, and above all, patience so long as mother and fetus are tolerating labor. Labor graphs and action lines do no more than exemplify H. L. Mencken’s truism, “For every complex problem there is a solution that is simple, neat—and wrong.”
http://www.scienceandsensibility.org/?p=1439ข้อแตกต่างระหว่าง Primary Care และ Primary Health Care
Primary care is the basic care given to an individual/client in case of a disease or illness. This care consist of the basic procedures or drugs to be used with the basic management of that particular illness or disease before one steps up to further management or use of stronger drugs or use of alternative method of treatment. In primary care its what one can do to the client first.
- Primary health care is health care given to the primary level of service, that is level 2-1 of health system. Primary health care mainly deals with pro motive and preventive measures to control or prevent a situation in health care. At this level of care we mainly deal with health education, demonstration and social behavior change for the clients to develop positive health care behavior to promote health and avoid development of diseases or complications. This is the level where community strategy has been concentrated on by use of community members in health care. Primary health care was adopted in Al-Matta but it has not worked well because of non defined methods of its implementation with parallel programs being developed. With integration of programs and defined methods i think primary health care is best suited to achieve health for all.
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Support Group for Twin
The Bangkok Twins Group holds weekly play groups every Friday from 9:30 - 11:30am at IPC Clubhouse. For more information, please sign up to the Facebook group 'Bangkok Twins Group'. Alternatively, you can contact Polly email: pollymcg@gmail.com, by phone 081 446 7626 or Natalie, at 0818 253 655 or murphy1@truemail.co.th
Epidural:Real risk for mother&baby by Dr.Sarah Buckley
There are several types of epidural used in Australian hospitals. In a conventional epidural, a dose of local anaesthetic is injected through the lower back into the epidural space, around the spinal cord. This numbs the nerves which bring sensation from the uterus and birth canal. Unfortunately, the local anaesthetic also numbs the nerves which control the pelvic muscles and legs, so with this type of epidural, a woman usually cannot move her legs and, unless the epidural has worn off, cannot push her baby out, in the second stage of labour.
More recent forms of epidurals use a lower dose of local anaesthetic, usually combined with an opiate, such as pethidine, morphine or fentanyl (sublimaze). With this low-dose or combination epidural, most women can move around with support; however the chance of a woman being able to give birth without forceps is still low4. Another form of epidural, popular in the US, is the CSE, or combined spinal-epidural, where a one-off dose of opiate, with or without local anaesthetic, is injected into the spinal space, very close to the end of the spinal cord. This gives pain relief for around 2 hours, and if further pain relief is needed, it is given as an epidural. These forms of "walking epidural" may seem advantageous, but being attached to a CTG machine to monitor the baby, and hooked up to a drip which is also a requirement when an epidural is in place, can make walking impossible.
Many women have a good experience with epidurals. Sometimes the relief from pain can allow a woman to rest and relax sufficiently to go on and have a good birth experience. However deciding to use an epidural for pain relief can also lead to a "cascade of intervention", where an otherwise normal birth becomes highly medicalised, and a woman feels that she loses her control and autonomy. Often the decision to accept an epidural is made without an awareness of these, and other, significant risks to both mother and baby.
Although the drugs used in epidurals are injected around the spinal cord, substantial amounts enter the mother's blood stream, and pass through the placenta into the baby's circulation. Most of the side effects of epidurals are due to these "systemic", or whole-body effects.
One of the most commonly recognised side effects is a drop in blood pressure. Up to one woman in 8 will have this side effect to some degree5, and for this reason, extra fluids are usually given through a drip to prevent problems. A drop in the mother's blood pressure will affect how much of her blood is pumped to the placenta, and can lead to less oxygen being available to the baby.
An epidural will often slow a woman's labour, and she is three times more likely to be given an oxytocin drip to speed things up6 7. The second stage of labour is particularly slowed, leading to a three times increased chance of forceps8. Women having their first baby are particularly affected; choosing an epidural can reduce their chance of a normal delivery to less than 50%9.
This slowing of labour is at least partly related to the effect of the epidural on a woman's pelvic floor muscles. These muscles guide the baby's head so that it enters the birth canal in the best position. When these muscles are not working, dystocia, or poor progress, may result, leading to the need for high forceps to turn the baby, or a caesarean section. Having an epidural doubles a woman's chance of having a caesarean section for dystocia10.
When forceps are used, or if there is a concern that the second stage is too long, a woman may be given an episiotomy, where the perineum, or tissues between the vaginal entrance and anus, are cut to enlarge the outlet and hurry the birth. Stitches are needed and it may be painful to sit until the episiotomy has healed, in 2 to 4 weeks.
As well as numbing the uterus, an epidural will numb the bladder, and a woman may not be able to pass urine, in which case she will be catheterised. This involves a tube being passed up from the urethra to drain the bladder, which can feel uncomfortable or embarrassing.
Other side effects of epidurals vary a little depending on the particular drugs used. Pruritis, or generalized itching of the skin, is common when opiate drugs are given. It may be more or less intense and affects at least ¼ of women11 12: morphine or diamorphine are most likely to cause this. Morphine also causes oral herpes in 15% of women13 .
All opiate drugs can cause nausea and vomiting, although this is less likely with an epidural (around 30%14) than when these drugs are given into the muscle or bloodstream, where larger doses are needed. Up to 1/3 of women with an epidural will experience shivering15, which is related to effects on the bodies heat- regulating system.
When an epidural has been in place for more than 5 hours, a woman's body temperature may begin to rise16. This will lead to an increase in both her own and her baby's heart rate, which is detectable on the CTG monitor. Fetal tachycardia, or fast heart rate can be a sign of distress, and the elevated temperature can also be a sign of infection such as chorioamnionitis, which affects the uterus and baby. This can lead to such interventions as caesarean section for possible distress or infection, or, at the least, investigations of the baby after birth such as blood and spinal fluid samples, and several days of separation, observation, and possibly antibiotics, until the results are available17.
Less common side effects for a woman having an epidural are; accidental puncture of the dura, or spinal cord coverings, which can cause a prolonged and sometimes severe headache (1 in 100)18 ongoing numb patches, which usually clear after 3 months(1 in 550)19; and weakness and loss of sensation in the areas affected by the epidural, (4-18 in 10,000) also usually resolving by 3 months20.
More serious but rare side effects include permanent nerve damage; convulsions and heart and breathing difficulties (1 in 20,000)21 and death attributable to epidural. (1 in 200,000)22 When opiates are used, a woman may experience difficulty in breathing which comes on 6 to 12 hours later23.
There is a noticeable lack of research and information about the effects of epidurals on babies24. Drugs used in epidurals can reach levels at least as high as those in the mother25, and because of the baby's immature liver, these drugs take a long time- sometimes days- to be cleared from the baby's body26. Although findings are not consistent, possible problems, such as rapid breathing in the first few hours27 and vulnerability to low blood sugar28 suggest that these drugs have measurable effects on the newborn baby.
As well as these effects, babies can suffer from the interventions associated with epidural use; for example babies born by caesarean section have a higher risk of breathing difficulties29. When monitoring of the heart rate by CTG is difficult, babies may have a small electrode screwed into their scalp, which may not only be unpleasant, but occasionally can lead to infection.
There are also suggestions that babies born after epidurals may have difficulties with breastfeeding30 31 which may be a drug effect, or may relate to more subtle changes. Studies suggest that epidurals interfere with the release of oxytocin32 which, as well as causing the let-down effect in breastfeeding, encourages bonding between a mother and her young33.
Epidural research, much of it conducted by the anaesthetists who administer epidurals, has unfortunately focussed more on the pro's and con's of different drug combinations than on possible serious side-effects34. There have been, for example, no rigorous studies showing whether epidurals affect the successful establishment of breastfeeding35.
Several studies have found subtle but definite changes in the behaviour of newborn babies after epidural36 37 38 with one study showing that behavioural abnormalities persisted for at least six weeks39. Other studies have shown that, after an epidural, mothers spent less time with their newborn babies40, and described their babies at one month as more difficult to care for41.
While an epidural is certainly the most effective form of pain relief available, it is worth considering that ultimate satisfaction with the experience of giving birth may not be related to lack of pain. In fact, a UK survey which asked about satisfaction a year after the birth found that despite having the lowest self-rating for pain in labour (29 points out of 100), women who had given birth with an epidural were the most likely to be dissatisfied with their experience a year later42.
Some of this dissatisfaction was linked to long labours and forceps births, both of which may be a consequence of having an epidural. Women who had no pain relief reported the most pain (70 points out of 100) but had high rates of satisfaction.
Pain in childbirth is real, but epidural pain relief may not be the best solution. Talk about other options with your care-givers and friends. With good support, and the use of movement, breathing and sound, most women can give themselves, and their babies, the gift of a birth without drugs.
References
Perinatal Statistics, Queensland 1996. Queensland Health 1998. At the present time, national figures for epidural use are not collected.
Dr Steve Chester, Head of Anaesthetics Dept, Royal Women's Hospital, Melbourne. Around 45% of primiparous women at RWH have an epidural. Personal Communication
World Health Organisation. Care in Normal birth: A Practical Guide..P 16. WHO 1996
Russell R, Reynolds F. Epidural infusion of low-dose bupivicaine and opioid in labour. Does reducing the motor block increase the spontaneous delivery rate? Anaesthesia 1996; 51(5): 266-273
Webb RJ, Kantor GS. Obstetrical epidural anaesthesia in a rural Canadian hospital. Can J Anaesth 1991; 39:390-393
Ramin SM, Gambling DR, Lucas MJ et al. Randomized trial of epidural versus intravenous analgesia during labor. Obstet Gynecol 1995; 86(5): 783-789
Howell CJ. Epidural vs non-epidural analgesia in labour. [Revised 6 May 1994] In: Keirse MJNG, Renfrew MJ, Neilson JP, Crowther C. (eds) Pregnancy and Childbirth Module. In: The Cochrane Pregnancy and Childbirth Database. (database on disc and CD-ROM ) The Cochrane Collaboration; Issue 2, Oxford: Update Software 1995 (Available from BMJ publishing group, London)
Thorp JA, Hu DH, Albin RM, et al. The effect of intrapartum epidural analgesia on nulliparous labor; a randomized, controlled, prospective trial. Am J Obstet Gynecol 1993; 169(4): 851-858
Paterson Catherine, Banfield Philip. Epidural analgesia and maternal satisfaction. BMJ 1991 v302: 1079
Thorp JA, Meyer BA, Cohen GR et al. Epidural analgesia in labor and cesarean section for dystocia. Obstet Gynecol Surv 1994; 49(5): 362-369
Lirzin JD, Jacquintot P, Dailland P, et al. Controlled trial of extradural bupivicaine with fentanyl, morphine or placebo for pain relief in labour. Br J Anaesth 1989; 62: 641-644
Caldwell LE, Rosen MA, Shnider SM. Subarachnoid morphine and fentanyl for labor analgesia. Efficacy and adverse effects. Reg Anesth 1994;19:2-8
John Paull, Faculty of Anaesthetists, Melbourne. Quoted in: "The perfect epidural for labour is proving elusive" New Zealand Doctor. 21 Oct 1991
as above
Buggy D, Gardiner J. The space blanket and shivering during extradural analgesia in labour. Acta-Anaesthesiol-Scand 1995; 39(4): 551-553
Camann WR, Hortvet LA, Hughes N, et al. Maternal temperature regulation during extradural analgesia for labour. Br J Anaesth 1991;67:565-568.
Kennell J, Klaus M, McGrath S, et al. Continuous emotional support during labor in a US hospital. JAMA 1991;265:2197-220
Stride PC, Cooper GM. Dural taps revisited: a 20 year survey from Birmingham Maternity Hospital. Anaesthesia 1993; 48(3):247-255
Epidurals for pain relief in labour: Informed choice leaflet for women. MIDIRS and the NHS centre for Reviews and dissemination 1997.
Epidural pain relief during labour; Informed choice for professionals. MIDIRS and the NHS centre for Reviews and dissemination 1997.
see 13
see 13
Rawal N, Arner S et al Ventilatory effects of extradural diamorphine.Br J Anaesthesia 1982;54:239
Howell CJ, Chalmers I. A review of prospectively controlled comparisons of epidural with non-epidural forms of pain relief during labour. Int J Obstet Anaesth 1992;1:93-110
Fernando R, Bonello E et al. Placental and maternal plasma concentrations of fentanyl and bupivicaine after ambulatory combined spinal epidural (CSE) analgesia during labour. Int J Obstet Anaesth 1995;4:178-179
Caldwell J, Wakile LA, Notarianni LJ et al. Maternal and neonatal disposition of pethidine in child birth- a study using quantitative gas chromatography-mass spectrometry. Lif Sci 1978;22:589-96
Bratteby LE, Andersson L, Swanstrom S. Effect of obstetrical regional analgesia on the change in respiratory frequency in the newborn. Br J Anaesth 1979; 51:41S-45S
Swanstrom S, Bratteby LE. Metabolic effects of obstetric regional analgesia and of asphyxia in the newborn infant during the first two hours after birth I. Arterial blood glucose concentrations. Acta Paediatr Scand 1981; 70:791-800
Enkin M, Keirse M, Renfrew M, Neilson J. A Guide to Effective Care in Pregnancy and Childbirth. P 287 Oxford University Press 1995
Smith A. Pilot study investigating the effect of pethidine epidurals on breastfeeding. Breastfeeding Review, Nursing Mothers Association of Australia. V5 no1 May 1997.
Walker M. Do labor medications affect breastfeeding? J Human Lactation 1997;13(2) 131-137
Goodfellow CF, Hull MGR, Swaab DF et al. Oxytocin deficiency at delivery with epidural analgesia. Br J Obstet Gynaecol 1983; 90:214-219
Insel TR, Shapiro LE. Oxytocin receptors and maternal behavior. In Oxytocin in Maternal Sexual and Social Behaviors. Annals of the New York Academy of Sciences, 1992 Vol 652. Ed CA Pedersen, JD Caldwell, GF Jirikowski and TR Insel pp 122-141 New York, New York Academy of Science
Howell CJ, Chalmers I A review of prospectively controlled comparisons of epidural with non-epidural forms of pain relief during labour. Int J Obstet Anaesth 1992 1: 93-110
See 31
Scanlon JW, Brown WU, Weiss JB Alper MD. Neurobehavioral responses of newborn infants after maternal epidural anesthesia. Anesthesiology, 1974; 40: 121-128
Morikawa S, Ishikawa I, Kamatsuki H, et al. Neurobehavior and mental development of newborn infants delivered under epidural analgesia with bupivicaine. Nippon Sanka 1990; 42: 1495-1502
Lester BM, Heidelise A, Brazelton TB. Regional obstetric anesthesia and newborn behavior: a synthesis toward synergistic effects.Child Dev 1982; 53;687-692
Rosenblatt DB, Belsey EM, Lieberman BA et al. The influence of maternal analgesia on neonatal behaviour II epidural bupivicaine. Br J Obstet Gynecol 1981 24;649-670
Seposki C, Lester B, Ostenheimer GW, Brazelton, TB. The effects of maternal epidural anesthesia on neonatal behavior during the first month. Dev Med Child Neurol 1992:34;1072-1080
Murray AD, Dolby RM, Nation RL, Thomas DB.Effects of epidural anesthesia on newborns and their mothers. Child Dev 1981; 82:71-82
Morgan BM, Bulpitt CJ, Clifton P, Lewis PJ. Analgesia and satisfaction in childbirth (the Queen Charlotte's 1000 mother survey) Lancet 1982; 2 (Oct 9) 808-810
This paper may be copied and circulated, as long as the author is acknowledged.
Sarah Buckley, Brisbane, Australia. Nov 1998
The author can be contacted @ sarahjbuckley@yahoo.com
source:www.birthinternational.com
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
“Benefits of Breastfeeding for Mother & Baby”โดย La Leche Leaque Leader
Thursday, August 26th – 2010, from 9:30 am to 11:30am
at Ladybird International Kindergarten (21 Soi Promsri 2 ‐ Sukhumvit 39)
Mothers are amazed to hear about many remarkable qualities of human milk,
their bodies fantastic ability to produce milk as well as the positive impact
breastfeeding has on families, the environment and society.
Upcoming meetings:
− Baby arrives: The family and the breastfeeding baby: Thursday, September
30th, 2010.
− The art of breastfeeding and overcoming difficulties: Thursday, October
28thth, 2010.
Babies are always welcome at La Leche League meetings.
Contact person in Bangkok:
Jenny Perez‐Genge
(La Leche League Leader)
Tel. 081‐585‐3025;
lalecheleaguethailand@gmail.com
http://www.llli.org/
For directions to get to Ladybird, please see the map of
Ladybird: http://www.ladybird.ac.th/content.php?i d=contactus.php
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Breastfeeding Resources - Ten Steps to Successful Breastfeeding - UNICEF/WHO Baby-Friendly Hospital Initiative (BFHI) - The Mother and Child Health and Education Trust
Ten Steps to successful breastfeeding |
เว็บไซด์นี้มีข้อมูลเกี่ยวกับนมแม่ในหลายๆเรื่องที่มีประโยชน์มาก ลองไปอ่านดูนะคะ...
วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เติมพลังรักสู่ลูกด้วยนมแม่ แค่ 10 ขั้น
รายการบล็อกของฉัน
-
self attatchment breastcrawl - baby,babywearing,breastfeeding,birth,mom,maternity,mother,infant,feeding8 ปีที่ผ่านมา
-
New Research on Planned Home VBAC in the US- Two Part Interview with Author Melissa Cheyney, PhD, CPM, LDM - The MANA Blog and the *Science and Sensibility Blog * have a two part post on important new VBAC research. It provides a much-needed analysis of VBACs i...9 ปีที่ผ่านมา
-
Have you seen the recent Similac ad? - Thanks to Casey Rosen-Carole for this excellent commentary on http://similac.com/sisterhood-of-motherhood Worth the read! Best, Miriam *Two lies and a ...9 ปีที่ผ่านมา
-
ระวังมากๆ มันอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด สาธารณสุขเตือนอันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสาร - ต้องระวังมากๆ นอกจากเครื่องถ่ายเอกสารแล้ว ก็พวกเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นแบบเลเซอร์ทั้งหลายก็ต้องระวัง ส่วนเครื่องแบบ Inkjet ไม่แน่ใจว่าอันตรายมากหรือเปล่า...9 ปีที่ผ่านมา
-
7 Facts about Maternal Depression - With depression in the news this week, we wanted to join so many others who are trying to address misinformation about depression and mental health issues...10 ปีที่ผ่านมา
-
Podcast: Can you be fired for pumping at work? - I recently posted an interview with Jake Marcus, JD on breastfeeding and sex discrimination law at the Motherlove Blog. If you're not sure if you can be fi...12 ปีที่ผ่านมา
-
Birth Matters Tidewater will be screening the film DOULA! - You are cordially invited! Birth Matters Tidewater will be screening the film DOULA! This screening will be held at Virginia Wesleyan College on June 18, 2...13 ปีที่ผ่านมา
-
-
-