กลายเป็นนักแสดงเด็กคุณภาพอีกคน "พูกัน-นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ" วัย 8 ปี ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในบท "ผีเด็ก" จากภาพยนตร์เรื่องบุปผาราตรี 3.1 และ 3.2 จนมีงานละครต่อเนื่อง หนึ่งในนั้น คงจะคุ้นหน้าเธอกันดีในบท "หนูนิ่ม" จากละครเรื่อง "พรุ่งนี้ก็รักเธอ" ทางช่อง 5 รวมไปถึงละครเวทีเฉลียง เดอะมิวสิคัล และละครเวทีเนื้อคู่ 11 ฉาก จากวันแรกถึงวันลา
แต่กว่าจะมีวันนี้ เธอมี "แม่ฮา-นาถพ์รุจี" คุณแม่นักประชาสัมพันธ์ (ยังสาว) ที่คอยดูแล และสอนอยู่เคียงข้างมาตลอด ทั้งเรื่องจัดคิวงาน อาหารการกิน ตลอดจนการวางตัวในวงการ ทำให้พูกันเป็นเด็กน่ารัก น่าเอ็นดู ของพี่ๆ ทีมงานทุกคน ไม่ต่างจากทีมงาน Life and Family ที่มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิด จนรู้สึกได้จริงๆ ว่า เด็กคนนี้อัธยาศัยดี คุยสนุก มีไหวพริบ และรักแม่มาก
"หนูจะสนิทกับแม่มาก คุณแม่เป็นคนเก่ง แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่า แม่เลี้ยงหนูด้วยนมแม่ตั้งแต่เกิด จนหนู 3 ขวบ ถ้าหมอไม่บอกให้เลิก แม่ก็ไม่เลิกที่จะให้นมหนู" เธอเล่าจบก็ลุกกระโดดจากเก้าอี้ เข้าไปหอมแก้มคุณแม่ฟอดใหญ่ 1 ที
หากถามถึงชีวิตของเด็กผู้หญิงตาดำๆ คนนี้ เธอเติบโตโดยมีคุณแม่ฮาเลี้ยงดูเหมือนเพื่อน เวลามีปัญหาจะคุยกันด้วยเหตุผล ไปไหน หรือทำอะไรก็จะอธิบาย และบอกกันตลอด ลูกจึงเชื่อใจคุณแม่มากกว่าที่จะไปปรึกษาเพื่อน หรือเชื่อเพื่อน กิจกรรมที่ทำร่วมกันที่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นการพักผ่อน และใช้เวลาทำหนังสือทำมือด้วยกัน ส่วนช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา พูกันจะใช้เวลาว่างไปช่วยคุณแม่ทำงานที่ออฟฟิศ เริ่มตั้งแต่ เป็นผู้ช่วยเดินเอกสารตามโต๊ะ และช่วยทำ Press kit (ของที่ระลึกมอบให้สื่อ)
อย่างไรก็ดี ขึ้นเชื่อว่าเด็ก ความซน ความดื้อ เป็นของคู่กันที่แยกไม่ขาด เหมือนกับพูกัน ที่มักจะทำให้คุณแม่อารมณ์เสียอยู่บ้าง แต่สุดท้ายถึงจะโกรธ ก็โกรธกันแค่ประเดี๋ยวเดียว
"คุณแม่เป็นคนโกรธง่าย หายไว สมมติไปเล่นบ้านเพื่อน ทั้งๆ ที่การบ้านยังไม่เสร็จ พอกลับถึงบ้าน อย่างแรกเลยคิ้วแม่จะขมวดชิดกัน ตาจะเฉียง ขอบตาซ้ายขวาจะยื่นขึ้น เป็นฟาโรอียิปต์ ซึ่งหนูเห็นแม่โกรธก็รู้สึกผิด และทำหน้าบ้องแบ๊ว กระพริบตาให้น่าสงสารสัก 3 ที เหมือนหนูแฮมเตอร์ในกรง จากนั้นนั่งทำการบ้านให้เสร็จ ผ่านไปสักพัก แม่ก็มาขอโทษ และบอกหนูว่า แม่ขอโทษนะลูก ที่แม่ตะหวาดแรงไปหน่อย ส่วนหนูก็ขอโทษแม่ที่ไม่ยอมทำการบ้าน จากนั้นเรา 2 คนแม่ลูกก็กอดกันอย่างอินเลิฟ" พูกันเล่า
แต่กว่าจะมีวันนี้ เธอมี "แม่ฮา-นาถพ์รุจี" คุณแม่นักประชาสัมพันธ์ (ยังสาว) ที่คอยดูแล และสอนอยู่เคียงข้างมาตลอด ทั้งเรื่องจัดคิวงาน อาหารการกิน ตลอดจนการวางตัวในวงการ ทำให้พูกันเป็นเด็กน่ารัก น่าเอ็นดู ของพี่ๆ ทีมงานทุกคน ไม่ต่างจากทีมงาน Life and Family ที่มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิด จนรู้สึกได้จริงๆ ว่า เด็กคนนี้อัธยาศัยดี คุยสนุก มีไหวพริบ และรักแม่มาก
"หนูจะสนิทกับแม่มาก คุณแม่เป็นคนเก่ง แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่า แม่เลี้ยงหนูด้วยนมแม่ตั้งแต่เกิด จนหนู 3 ขวบ ถ้าหมอไม่บอกให้เลิก แม่ก็ไม่เลิกที่จะให้นมหนู" เธอเล่าจบก็ลุกกระโดดจากเก้าอี้ เข้าไปหอมแก้มคุณแม่ฟอดใหญ่ 1 ที
หากถามถึงชีวิตของเด็กผู้หญิงตาดำๆ คนนี้ เธอเติบโตโดยมีคุณแม่ฮาเลี้ยงดูเหมือนเพื่อน เวลามีปัญหาจะคุยกันด้วยเหตุผล ไปไหน หรือทำอะไรก็จะอธิบาย และบอกกันตลอด ลูกจึงเชื่อใจคุณแม่มากกว่าที่จะไปปรึกษาเพื่อน หรือเชื่อเพื่อน กิจกรรมที่ทำร่วมกันที่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นการพักผ่อน และใช้เวลาทำหนังสือทำมือด้วยกัน ส่วนช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา พูกันจะใช้เวลาว่างไปช่วยคุณแม่ทำงานที่ออฟฟิศ เริ่มตั้งแต่ เป็นผู้ช่วยเดินเอกสารตามโต๊ะ และช่วยทำ Press kit (ของที่ระลึกมอบให้สื่อ)
อย่างไรก็ดี ขึ้นเชื่อว่าเด็ก ความซน ความดื้อ เป็นของคู่กันที่แยกไม่ขาด เหมือนกับพูกัน ที่มักจะทำให้คุณแม่อารมณ์เสียอยู่บ้าง แต่สุดท้ายถึงจะโกรธ ก็โกรธกันแค่ประเดี๋ยวเดียว
"คุณแม่เป็นคนโกรธง่าย หายไว สมมติไปเล่นบ้านเพื่อน ทั้งๆ ที่การบ้านยังไม่เสร็จ พอกลับถึงบ้าน อย่างแรกเลยคิ้วแม่จะขมวดชิดกัน ตาจะเฉียง ขอบตาซ้ายขวาจะยื่นขึ้น เป็นฟาโรอียิปต์ ซึ่งหนูเห็นแม่โกรธก็รู้สึกผิด และทำหน้าบ้องแบ๊ว กระพริบตาให้น่าสงสารสัก 3 ที เหมือนหนูแฮมเตอร์ในกรง จากนั้นนั่งทำการบ้านให้เสร็จ ผ่านไปสักพัก แม่ก็มาขอโทษ และบอกหนูว่า แม่ขอโทษนะลูก ที่แม่ตะหวาดแรงไปหน่อย ส่วนหนูก็ขอโทษแม่ที่ไม่ยอมทำการบ้าน จากนั้นเรา 2 คนแม่ลูกก็กอดกันอย่างอินเลิฟ" พูกันเล่า
"โลกมายา" ลูกสุข แม่ห่วง การทำงานในวงการบันเทิง เป็นสิ่งที่พูกันมีความสุขมากงานหนึ่ง เพราะได้เห็นตัวเอง และได้แสดงออก แต่ความสุขตรงนี้ บางครั้งอาจทำให้คนเป็นแม่รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย "เราก็เคยถามเขานะ ว่าลูกไม่ทำไหม ลูกไม่ต้องทำ ลูกอยู่บ้าน แม่เลี้ยงได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อลูกบอกว่า เขามีความสุขที่ได้แสดง ได้เห็นภาพ และฟังเสียงตัวเอง เราก็ปล่อยให้ลูกทำ แต่ถ้าถามเรา เราสงสารลูกนะ เพราะวงการมันเป็นงานที่หนัก แต่ก็คิดในแง่ดี เพราะโอกาสที่จะได้เข้ามาตรงนี้มันไม่ง่าย" คุณแม่ฮาบอก ส่วนประเด็นเรื่องดาราเด็ก ที่ถูกสังคมคนดูมองว่า พ่อแม่ใช้ให้ลูกทำงานหนักเกินไปนั้น คุณแม่ฮาบอกว่า "เราก็ไม่ใช่แม่ใจร้าย ที่จะให้ลูกทำงานจนลืมพักผ่อน ซึ่งแม่เอง แม่ก็จะคุยกับพี่ผู้กำกับก่อน เช่น ถ่ายเต็มที่ 4 ทุ่มนะ เพราะน้องคงหมดแรงแล้ว หรือถ้าช่วงไหนที่ลูกต้องเรียน ก็จะให้ลูกเพลาๆ ลง" ด้านพูกัน เธอยอมรับว่า การทำงานในวงการตั้งแต่อายุยังน้อย บางครั้งต้องรับแรงกดดันไม่ต่างจากผู้ใหญ่ แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา แม่จะเข้ามาเติมพลัง ด้วยกำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ "บางทีถ้าเกิดว่า มันไม่ไหวจริงๆ เราก็จะบอกกับพี่ๆ ทีมงานว่าเราปวดห้องน้ำ ซึ่งอาจจะไปร้องไห้กับแม่ในห้องน้ำ เวลาที่หนูมีปัญหา แม่ให้กำลังใจที่ดีมาก" พูกันเล่า พร้อมกับบอกต่อไปว่า นอกจากกำลังใจ เธอมักจะขอ "พลังนมแม่" ซึ่งเป็นคำที่เธอเชื่อมั่นมาตั้งแต่เล็กว่า นมแม่ที่เธอได้รับ ช่วยเติมพลังให้เธอเป็นเด็กที่แข็งแรงในวันนี้ ดังนั้นเวลามีปัญหาเธอจะขอพลังนี้กับแม่ เพราะมันทำให้เรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ด้วยดี | |||||
การเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง เรื่องข่าวเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกคนเลี่ยงได้ยาก ในฐานะที่พูกัน นักแสดงที่จะเติบโตไปเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ในวันข้างหน้า เธอบอกว่า การวางตัวอย่างถูกกาลเทศะเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกคนต้องมี เหมือนกับที่แม่จะสอนเธอในเรื่องนี้อยู่ตลอด "สมมติกองนี้เป็นกองดุ เราก็ต้องเชื่อฟังเขา ตรงกับสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ทั้งกติกา และมารยามในกอง รวมไปถึงความอ่อนน้อมถ่อมต้น ไหว้ไว้ก่อนแม่สอนไว้ หรือถ้ามีอารมณ์เย้วๆ กับเพื่อนมา แต่พอเข้ากองถ่าย ต้องเปลี่ยนอารมณ์ให้ถูกกาลเทศะ กลายเป็นข้าเจ้าเป็นสาวเชียงใหม่ในทันที" พูกันบอกถึงสิ่งแม่สอนมาตลอด ด้านการแบ่งเวลา ระหว่างเรียนกับการทำงาน พูกันบอกว่า ถึงแม้จะมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่เคยทิ้งการเรียน ซึ่งเธอจะใช้เวลาเรียนในห้องอย่างเต็มที่ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่อง อนาคต เธออยากทำงานเบื้องหลัง เป็นคนทำหนัง ด้วยเหตุผลที่ว่า มันได้ปลดปล่อย ได้คิดพล็อตเรื่องเอง คิดฉากเอง เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีสู่สังคม โดยเฉพาะเรื่องของบาปบุญคุณโทษ คือสิ่งที่เธออยากจะสะท้อนให้สังคมได้ตระหนัก นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงสถานการณ์บ้านเมือง ที่เธอเสนอความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า "การที่คนจะรัก สามัคคีปรองดองกันได้ มันต้องเริ่มจากอย่างแรกก่อนเลย คือ การมีน้ำใจให้กัน อย่าแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งสี ขอให้หันมารวมกันเป็นหนึ่ง ไม่เช่นนั้นโลกจะแตกเป็นครึ่ง อีกทั้งยังก่อให้เกิดโลกร้อนได้ด้วย เพราะการทะเลาะกันย่อมต้องใช้อาวุธ ดังนั้นยิ่งทะเลาะกันมาก ก็ต้องผลิตอาวุธออกมามาก ทำให้โรงงานปล่อยควันพิษที่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา โลกจึงร้อน ทางที่ดีหันมาจับมือปลูกต้นไม้กันดีกว่า ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มก๊าซออกซิเจนให้โลกได้มาก" แม่ลูกสารภาพความในใจ ถึงวันนี้ คุณแม่ฮา เผยความรู้สึกว่า "ภูมิใจในตัวลูกมาก เขาน่ารัก กระตือรือร้น ร่าเริง แจ่มใส เวลาทำงานจะตั้งใจมาก บางทีเราก็เคยนั่งมองลูกตอนทำงานนะ ไม่ว่าจะตอนท่องบท แสดงละคร เราก็บอกกับตัวเองว่า เด็กคนนี้น่ารักจังเลย ในเรื่องเรียน เขาก็ให้ความใส่ใจมาตลอด ผิดหวังอะไร ก็จะมากอดเรา ขอกำลังใจ ขอพลังจากเรา ทำให้เวลาเราอยู่ใกล้เขา เราอบอุ่น เราติดเขาเหมือนกันนะ ไม่ใช่เขาติดเราอย่างเดียว (หัวเราะ) อยากให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง มีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ" ขณะที่พูกันบอกด้วยเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ว่า "ในชีวิตนี้ สิ่งที่อยากทำให้แม่ คือ ขอให้แม่มีความสุข เดี๋ยวหนูจะช่วยหาเงินมาให้แม่เอง เพราะแม่เหนื่อยมาเยอะแล้ว" เล่าเสร็จ พูกันถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ลุกไปโผกอดคุณแม่ทั้งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งในความรัก และพลังนมแม่ที่มีให้เธอมาตลอด นี่คือ นักแสดงเด็กดีที่ชื่อ "พูกัน-นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ” พลังนมแม่ หนูรักแม่ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น